วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เด๋กๆและวัยรุ่นที่มีน้ำหนักและอยู่ในข่ายอ้วนท้วน มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคอ้วนแบบรุนแรง


Lauren Paynter วัยรุ่นชาวอเมริกันที่เคยถูกล้อในเรื่องน้ำหนักตัวมาตั้งแต่เด็กๆ เล่าถึงประสบการณ์ที่เธอมักจะถูกขนานนาม และตั้งชื่อล้อเลียนเกี่ยวกับน้ำหนักตัวของเธอ แต่ตอนนี้เธอหันมาออกกำลังกายมากขึ้น และเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานจนลดน้ำหนักไปได้แล้วกว่า 7 กิโลกรัม

Lauren ยืนยันว่า แม้จะไม่ใช่เรื่องยากที่จะลดน้ำหนักแต่เธอก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะลดความอ้วน จนกลายเป็นเด็กที่เคยอ้วนเพียงไม่กี่คนที่กลับมามีน้ำหนักเป็นปกติได้

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า วิทยาเขต Chapel Hill ใช้เวลา 13 ปี ศึกษาเด็กและเยาวชนกว่า 8 พันคน อายุระหว่าง 12-21 ปี โดยศึกษาทั้งคนที่มีน้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน และถึงในระดับที่เรียกว่าอ้วน

Penny Gordon-Larsen นักวิจัยร่วมในโครงการนี้พบว่า สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักปกติมีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่จะเติบโตไปมีปัญหาโรคอ้วนอย่างรุนแรง ขณะที่เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้วมีโอกาสที่จะประสบปัญหาเรื่องนี้ต่อไปเมื่อมีอายุมากขึ้น

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า บอกว่า มีโอกาสกว่าร้อยละ 75 ที่คนซึ่งมีน้ำหนักเกินมาตั้งแต่เด็ก จะเติบโตไปมีปัญหาโรคอ้วนรุนแรงในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น

เช่นเดียวกับ Natalie The นักวิจัยอีกท่านหนึ่งในโครงการเดียวกัน บอกว่า พบความเกี่ยวข้องในเรื่องเพศเกี่ยวกับความอ้วนของวัยรุ่นเมื่อมีอายุย่างเข้าสู่ในวัยผู้ใหญ่ โดยระบุว่าผู้หญิงวัยรุ่นที่อ้วนอยู่แล้วมีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนแบบรุนแรงมากกว่าผู้ชาย

คุณนาตาลี บอกว่า เกือบร้อยละ 37 ของผู้ชายวัยรุ่นที่อ้วนท้วนอยู่แล้วมีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนแบบรุนแรงเมื่อมีอายุมากขึ้น ขณะที่คุณผู้หญิงวัยรุ่นที่อยู่ในข่ายอ้วนมีโอกาสถึงเกือบร้อยละ 50 ที่จะเป็นโรคอ้วนแบบรุนแรงในอนาคต

ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนเด็กอเมริกันที่น้ำหนักมากกว่าปกติเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า และจำนวนกลุ่มวัยรุ่นที่ทมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ก็เพิ่ทมากถึงสามเท่า แต่ไม่ใช่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้นที่ประสบปัญหาเรื่องนี้ เพราะข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่าเด็กๆ ที่เป็นโรคอ้วนกำลังเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วแม้กระทั่งในประเทศที่พัฒนาแล้วก็เช่นกัน

รายงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน หรือ Journal of the American Medical Association.

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

  ปัจจุบันสื่อมีความหลากหลายและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น  นอกจากช่องทางแบบเก่าคือ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมห์แล้ว มีช่องทางใหม่ๆผ่านสื่อดิจิตอล ได้แก่ เว็บ บล็อก โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (ipod) ข้อมูลข่าวสารทั้งหลายจึงทะลักสู่ผู้รับเป็นจำนวนมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ผู้ส่งข่าวสารจึงกลายเป็นผู้กำหนดการรับรู้ข่าวสารของผู้รับไปโดยปริยาย

ตามทฤษฎีของนักคิดด้านสังคมคนสำคัญคือ มิเชล ฟูโกต์(Michel Foucault) เสนอว่า  สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาอำนาจของเจ้าของสื่อหรือผู้ที่สามารถควบคุมสื่อไว้ในมือ  อธิบายได้ว่า การใช้สื่อเผยแพร่แนวคิด อุดมคติ ความเชื่อ ให้แก่คนทั้งหลาย ตอกย้ำซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา จนผู้ที่รับข่าวสารเกิดความคล้อยตาม เชื่อ และทำตามผู้ที่เป็นเจ้าของหรือควบคุมสื่อต้องการในที่สุด
จะเห็นได้ชัดเจนในทางการเมืองที่รัฐจะใช้สื่อในการสร้างอุดมการณ์ทางการเมืองขึ้น ให้คนในชาติเกิดความ มีความคิดความเชื่อเป็นหนึ่งเดียว คล้อยตามการชี้นำของรัฐ  นำไปสู่การจงรักภักดีต่อรัฐ  จนในที่สุดรัฐหรือรัฐบาลสามารถบงการประชาชนให้เชื่อฟังและทำตามความต้องการได้  การอยู่ในอำนาจของรัฐบาลและรักษาอำนาจของตนก็ทำได้โดยง่ายดาย
ปัจจุบัน สื่อก็เป็นเครื่องมือ ในการสร้างอำนาจให้แก่ผู้ใช้สื่ออยู่เช่นเดิม  เพียงแต่อำนาจที่ว่านั้น ไม่ใช่อำนาจทางการเมืองเสมอไป  เพราะการเป็นเจ้าของสื่อไม่ได้จำกัดอยู่ที่รัฐเพียงเท่านั้น  เอกชนก็สามารถเป็นเจ้าของสื่อได้  ดังนั้น ผู้ที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาอำนาจของตน จึงเปิดกว้างมากขึ้น  แต่ทั้งนี้ก็ยังอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของรัฐ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ
เมื่อการเป็นเจ้าของสื่อเปิดกว้างขึ้น การใช้สื่อก็กว้างขวางขึ้น ผู้ที่มีสื่อในมือก็สามารถใช้สื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองได้อย่างแทบไม่มีข้อจำกัด เช่น
ในทางการเมือง รัฐก็ยังคงใช้สื่อภายใต้การกำกับหรือสื่อที่รัฐเป็นเจ้าของ ในการเผยแพร่ความ คิดอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่เช่นเดิม  ดังเช่น สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เป็นสื่อที่รัฐเป็นเจ้าของ จึงทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ของรัฐเป็นหลัก
ในการต่อสู้ทางการเมือง สื่อยิ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของแต่ละฝ่าย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ฝ่ายตนและทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงกันข้าม  ดังเช่น ความขัดแย้งทางการเมืองในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงปี พ.ศ.2547-2549 โดยสองฝ่ายคือ ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่รวมตัวกันในนาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองโดยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการกระทำอันมิชอบของรัฐบาล และดำเนินการชุมนุมต่อต้านขับไล่รัฐบาลให้พ้นจากตำแหน่ง โดยมีประชาชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วม  ทั้งสองฝ่ายต่าง          ใช้สื่อที่ตนครอบครองอยู่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ในมุมของตนออกสู่สาธารณชน
ในทางการค้า ปัจจุบันสื่อกลายเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งให้เจ้าของสินค้าใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ให้คนทั่วไปได้รับรู้ในสินค้าและบริการของตน  รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อถือและความนิยมในสินค้า  ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม  รูปแบบการนำเสนอได้ถูกคิดค้นขึ้นมานานาชนิด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างความประทับใจให้ได้มากที่สุด อันจะนำไปสู่การซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย
       ด้วยเหตุที่สื่อเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ทำให้ผู้คนรับรู้ เชื่อถือ คล้อยตาม และนำไปสู่การยอมรับ ดังนั้นเราจึงเห็นการขับเคี่ยวแข่งขันกันผ่านสื่อของเจ้าของสินค้าและบริการ  รวมถึงในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้น คู่ขัดแย้งก็ใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความถูกต้องให้แก่ฝ่ายตนและทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงกันข้าม  คำถามก็คือ ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อนั้น มีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด
         ความชอบธรรม ความถูกต้อง ของฝ่ายตนกล่าวอ้างผ่านสื่อนั้น แท้จริงแล้วเป็นความถูกต้องความชอบธรรมที่แท้จริงหรือไม่  และความผิด ความไม่ชอบธรรมของฝ่ายตรงกันข้าม เป็นความจริงหรือไม่  นี่ย่อมเป็นคำถามที่มีต่อทุกฝ่ายที่ใช้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล
หรือคุณภาพของสินค้าและบริการที่เผยแพร่ผ่านสื่อนั้น  มีความถูกต้องตรงตามความเป็นจริงหรือไม่  โดยเฉพาะการโฆษณาที่มุ่งเสนอคุณภาพของสินค้าและบริการนั้น  ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเพียงใด เป็นความจริงที่แท้จริงของสินค้า หรือเป็นความจริงสมมติที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะในโฆษณาเท่านั้น 
สื่อจึงเป็นเหมือนสนามรบให้ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันอย่างดุเดือด สงครามข้อมูลผ่านสื่อนั้น ไม่ว่าเป็นสงครามแบบไหน  ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือผู้รับสื่อ คือเราๆท่านๆที่บริโภคข่าวสาร ผ่านช่องทางต่างๆ  อันเป็นกลุ่มเป้าหมายของคู่สงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามการเมือง การค้า การตลาด การบริการ
          ผู้รับสื่อจึงต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ ก่อนที่จะเชื่อ จะเห็นด้วย และคล้อยตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสินค้าตัวใดตัวหนึ่งเพราะกระบวนการตกแต่งข้อมูล บิดเบือนข้อเท็จจริงนั้น สามารถทำได้ ไม่ว่าจากฝ่ายใด
วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ผู้บริโภคสื่อ คือตัวเรานั้น เป็นเหยื่อ  เป็นเหยื่อและเป็นเหยื่อ
จากนั้นก็คิดวิธีรักษาตัวให้รอดจากการตกเป็นเหยื่อให้ได้เป็นลำดับถัดมา


แหล่งที่มา >  http://blogologynet.com/media-of-wars

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

transformers

จากที่ประทับใจจากภาคแรกแล้ว มาภาค2ก็ไม่ผิดหวังแม้แต่น้อย สนุกกว่าเดิมหลายเท่า ในภาคนี้เนื้อเรื่องได้ไห้บทกับฝ่ายมนุษย์มากกว่าเดิม โดยในภาคนี้ผมมองว่าว่ามีนัยที่แฝงไว้หลายอย่าง อย่างเช่น เนื้อเรื่องที่ต้องการบอกว่ามนุษย์นั่นสามารถควบคุมหุ่นยนตร์ได้ ทั้งที่จริงแล้วผมมนุษย์ไม่กล้าหือมากกว่า และหุ่นยนตร์เองก็ให้ความร่วมมือ และเป็นมนุษย์อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามกับภาพที่ฉายไม่ว่า การที่มนุษย์จัดระเบียบกับหุ่นยนตร์ ก็เหมือนกัยบ่งบอกอย่างที่กล่าวไว้
นอกจากนี้ก็ได้ฉายภาพของมนุษย์ได้ดีกว่า เมื่อภัยมาก็พยายามที่จะแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา  อยางที่ปรึกษาอะไรซักอย่างที่มาจากประธานาธิบดีมาบอกว่าให้พวกหุ่นยนตร์ไปจากโลก  เพราะกลัวพวกตัวร้ายมาถล่มโลก  เพราะแค้นพวกฝ่ายออโตบอทนั่นเอง  และพยายามคิดว่ามนุษย์นั่นสามารถจัดการเองได้ทั้งที่จริงแล้วฝ่ายมนุษย์นั้นต้องการหุ่นยนตร์ฝ่ายดีอยู่แล้ว 
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าบทจะมีอะไรมากขึ้นกว่าเดิม  แต่ที่เป็นข้อเสียเล็กๆน้อยๆ คือ บทหุ่นยนตร์บางตัวน้อยไปหน่อย บางตัวโผล่มาแปบเดียวก็หายไปแล้ไม่ได้พูดถึงเลย นอกจากนี้น่าจะมีบทที่มาที่ไปของหุ่นยนตร์ตัวใหม่ๆด้วย
นอกจากนี้ผมว่าบทนั่นน่าจะมีอะไรให้จดจำมากกว่านี้  ที่สำคัญคือ จบเร็วไปนิด (ตัวร้ายตายงายไปหน่อย น่าจะสู้กันนานกว่านี้นะ) บทฝ่ายตัวร้ายก็น่าจะร้ายกว่านี้  แต่โดยรวมแล้วบทก็ดีนะคับ เรียบเรียงได้ดี ไม่งง ดูได้เรื่อยๆ และมีฉากฮาๆเยอะดี
ด้านความมันส์ ผมขอบอกว่า เยอะมากๆเช่น ฉากย้ายไปที่อียิปต์ มันส์มากๆหรือฉากที่ต่อสู้กันในป่าก็มันส์ดี ละบรรดาฉากวินาศสันตะโรต่างๆก็เจ๋ง และฉากนี้บทการต่อสู้ของมนุษย์ที่ยกทัพมาเยอะดี ชอบๆ ไม่ว่าจะเป็นรถถัง เครื่องบิน เรือรบ ก็เจ๋งดี (แต่ผมว่าน่าจะมีเยอะกว่านี้นะ) ฉากรบกันสุดยอดที่สุดแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ร้านGazebo


จากถนนข้าวสาร ที่วุ่นวายพลุกพล่าน ไปด้วยผู้คน ร้านขายของ ร้านอาหารและผับหลากหลายสไตล์ ยังมีสถานที่ที่นั่งสบายบรรยากาศ Open Air ซ่อนตัวอยู่บนชั้นดาดฟ้าอาคาร44พลาซ่าต้นถนนข้าวสารฝั่งวัดชนะสงคราม Gazebo Club & Restaurant เป็นสถานที่ที่เหมาะกับหลีกหนีความวุ่นวายในข้าวสารเพื่อที่จะ การนัดพบ พูดคุย และ ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศสบายๆ







ด้วยการตกแต่งร้านในแบบ Oriental ได้อย่างสวยงามจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่บนตึก ทางร้านมีบริการพิเศษ นั่นก็คือ Shisha ให้คุณได้ดูดดื่มกับความหอมของ Shisha ไปพร้อมๆกับบรรยากาศของร้าน การจัดแบ่งโซนของร้านจะแบ่งเป็นสองส่วนนั่นก็คือ ส่วน Outdoor ที่เป็น Open Air เปิดดนตรีสบายๆ และมี Live Brand ช่วงเวลาหลัง 21.00 น. ทุกวัน



และโซน Indoor ที่เป็นการตกแต่งร้านอีกรูปแบบที่ฉีกออกไปสำหรับวัยรุ่น หรือคนที่อยากเต้น ด้วยดนตรี hip-hop , house, electro house Dj's Gazebo ในภาษาอังกฤษหมายถึงอาคารขนาดเล็กๆ หรือ กระท่อม Gazebo Club and Restaurant จึงเป็นกระท่อมเล็กๆแฝงตัว รอให้คุณเข้าพัก และปลดปล่อยอารมณ์ แล้วคุณจะหลงใหลไปกับมัน




ประเภทเครื่องดื่ม ทุกประเภท เหล้า เบียร์ คอกเทล
เมนูแนะนำประจำร้าน ไก่กอเระ, ส้มตำผลไม้, ชีสทอด
แนวเพลง Outdoor : solf rock, regge, chill out ,Indoor : Hip-Hop, House, Electro house



ที่อยู่ 44 ชั้นดาดฟ้า อาคาร 44 พลาซ่า ถ.จักรพงษ์ เขต พระนคร กรุงเทพ
โทรศัพท์ 0-2629-0705
เว็บไซต์ www.gazebobkk.com
เวลาเปิด-ปิด 19.00 until less




การเดินทาง


เส้นทางที่สะดวกใน 44 ชั้นดาดฟ้า อาคาร 44 พลาซ่า ถ.จักรพงษ์ เขต พระนคร กรุงเทพ
แหล่งจอดรถ ลาดจอดรถกองฉลาก (ใบเสร็จมาแลก Drink ได้)







วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

เดินเที่ยวกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน




กรุงเทพมหานคร แปลว่า พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนครกรุงเทพมหานครยังมีสิ่งมหัศจรรย์รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ จนกลายเป็นที่ขนานนามก้องโลกอีกหลายแห่ง เช่น พระบรมมหาราชวัง, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดอรุณราชวราราม, พระที่นั่งอนันตสมาคม ฯลฯ แต่วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร คือการเดินย่ำราตรี ชมแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนกันแบบสบาย ๆ อันได้แก่ ...


สะพานพระพุทธยอดฟ้า หรือชื่ออย่างเป็นทางการ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ ปัจจุบันนอกจากจะเป็นสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของกรุงเทพแล้ว ยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน ในเวลาตั้งแต่ 18.00 น.- 23.00 น. บริเวณเชิงสะพานฝั่งพระนครจะมีตลาดนัดใหญ่มีสินค้ามากมาย โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องประดับ เป็นที่นิยมของบรรดาวัยรุ่น นอกจากนี้ ยังเป็นที่ขายงานศิลปะของบรรดานักศึกษาเพาะช่างอีกด้วย ตลาดนัดสะพานพุทธฯ เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์


ถนนราชดำเนินเป็นถนนที่สวยงามและเป็นศรีสง่าของบ้านเมือง ตั้งแต่แรกสร้างมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นถนนสายประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์การเมืองไทยตลอดถนนราชดำเนินนั้นประดับประดาไปด้วยแสงไฟยามราตรี ให้เราเข้าถึงบรรยากาศเก่า ๆ จากอาคารต่าง ๆ

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                        ถนนเยาวราช



หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว กรุงเทพฯ ได้เริ่มทำการค้ากับประเทศทางตะวันตกมากขึ้นมีการส่งสินค้าออก เช่น ข้าว เครื่องเทศ น้ำตาลและมีการนำเข้าเหล็ก ผ้าแพรจากจีน เครื่องหอม ฯลฯ แหล่งการค้าของกรุงเทพฯ นั้นอยู่ในย่านคนจีน โดยมีอาณาเขตตั้งแต่ริมคลองโอ่งอ่างจนถึงคลองผดุงกรุงเกษมจากกิจการค้าที่ รุ่งเรืองและรายได้เพิ่มขึ้น จึงทำให้มีการตัดถนนเพิ่มขึ้นหลายสายพร้อมกับความเจริญที่ตามมา



ยามค่ำคืนเยาวราชจะแปรสภาพจากถนนเศรษฐกิจเป็นถนนอาหารที่มีความยาวที่สุดแห่งหนึ่ง สองฟากถนนเต็มไปด้วยอาหารชนิดวางขายเรียงรายเป็นแนวยาวมีทั้งหูฉลาม ซุปรังนก ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ บะหมี่ ก๋วยจั๊บ แพะตุ๋นยาจีน เกาเหลาเครื่องในหมู ข้าวขาหมู อาหารทะเล เกาลัดคั่ว ของหวานและผลไม้หลากชนิด เลือกนั่งได้ทั้งแบบภัตตาคาร ร้านริมถนนหรือจะซ้อจากรถเข็นและแผงลอยนานาชนิดก็ได้ ท่ามกลางบรรยากาศแสงสีไฟจากป้ายชื่อร้านที่ต่างก็มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบกัน



วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพื่อสนิท......ที่หายไป

คุณเคยมีเพื่อนสนิทสักคนไหม

คนที่มันบ้าๆ บอๆ แต่กล้าลุยกับคุณทุกสถานการณ์

ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องถูกหรือผิด...ถึงไหนถึงกัน



...เวลาที่คุณอยู่ใกล้มัน คุณเองก็บ้าบอไปกับมันด้วย

คุณกลายเป็นเด็กในร่างยักษ์ หลุดพ้นจากขอบเขต กฏเกณฑ์ต่างๆ

ในหัวของคุณเต็มไปด้วยจินตนาการ

โครงการร้อยแปดพันเก้าที่คุณจะทำกับมัน



 
...คนที่มีเรื่องเล่าสู่กันฟังไม่รู้จบ

คนที่คุณไม่ต้องคอยแคร์ความรู้สึกมันสักเท่าไหร่

มันทำให้คุณเป็นตัวของตัวเอง



...คนที่ค่อยๆ หายตัวไปในกาลเวลา

แต่แว๊บ..เข้ามาเสมอเวลาที่คุณอ่อนแอ...



...วันนี้…เพื่อนคนนั้นของคุณอยู่ที่ไหน

ยังอยู่ใกล้ๆ คุณอยู่หรือเปล่า คุณยังโทรหามันอยู่ไหม

มันยังบ้าๆ บอๆ อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า



...หรือว่าคุณเองที่มีความบ้าในเลือดน้อยลง

คุณไม่เจอมันนานแค่ไหนแล้ว ไม่ได้มองตาคุยกันนานแค่ไหน

… นานแค่ไหนที่คุณไม่ได้สัมผัสเพื่อนของคุณอย่างเดิม

หรือคุณเองก็ลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปแล้ว



ที่คุณไม่กล้าวิ่งไล่เตะมัน อย่าอ้างว่าคุณอายุมากขึ้น

ที่คุณไม่กล้าแย่งของกินจากมือมัน

อย่าอ้างว่าคุณมีมารยาท

คุณกลับไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัดโดยไม่ชวนมัน

อย่าอ้างว่าถึงชวนมันก็คงไม่ว่าง



...อะไรที่เปลี่ยนไป เวลา...หรือความรู้สึก...

สังคม...หรือความสัมพันธ์...อะไรที่เปลี่ยนแปลง

คุณ…หรือเขา...หรือใคร...คุณถามตัวเองหรือเปล่า

หรือรอให้ใครถาม

รู้สึกอย่างไรที่เขาเปลี่ยนไป แล้วเคยถามเขาไหม

เขารู้สึกอย่างไร...ที่คุณเปลี่ยนไป



หากเกิดคำถามเหล่านี้ขึ้นในใจ

ไม่ว่าคุณจะมีคำตอบหรือไม่

ไม่ว่าคุณจะต้องการคำตอบหรือเปล่า

ขอบเขตหรือกฏเกณฑ์ที่คุณไม่เคยมีกับเพื่อนคนนี้

มันเกิดขึ้นแล้วต่อหน้าต่อตาคุณ

แต่คุณก็ตอบกับตัวเองว่า ”ช่างมัน”

ปล่อยให้เพื่อนคนนึงกลายเป็นคนที่ไร้ตัวตนต่อไป



...แต่ถ้าคุณไม่เคยตั้งคำถามเหล่านี้เลย

รู้ไว้ด้วย คุณเสียเพื่อนดีๆ ไปคนนึง

และโลกนี้มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกคน



ปล. คุณรู้ไหม ขณะที่คุณกำลังนั่งอยู่ตรงนี้

เพื่อนคนนั้นของคุณ...อาจจะถามตัวเองอยู่ก็ได้

ว่ามันทำผิดอะไร...มันจึงเลือนหายไปจากชีวิตคุณ
 
 
ขอบคุณที่มา : http://writer.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=271569&chapter=3

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

................

จงหลีกหนีจากความยุ่งยาก เพราะถ้าตกลงมาแล้วมันขึ้นอยาก
ทำความชัดเจนในเป้าหมายของงานที่ทำ ผิดเป้าแล้วจะเหนื่อย