วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

  ปัจจุบันสื่อมีความหลากหลายและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น  นอกจากช่องทางแบบเก่าคือ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมห์แล้ว มีช่องทางใหม่ๆผ่านสื่อดิจิตอล ได้แก่ เว็บ บล็อก โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (ipod) ข้อมูลข่าวสารทั้งหลายจึงทะลักสู่ผู้รับเป็นจำนวนมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ผู้ส่งข่าวสารจึงกลายเป็นผู้กำหนดการรับรู้ข่าวสารของผู้รับไปโดยปริยาย

ตามทฤษฎีของนักคิดด้านสังคมคนสำคัญคือ มิเชล ฟูโกต์(Michel Foucault) เสนอว่า  สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาอำนาจของเจ้าของสื่อหรือผู้ที่สามารถควบคุมสื่อไว้ในมือ  อธิบายได้ว่า การใช้สื่อเผยแพร่แนวคิด อุดมคติ ความเชื่อ ให้แก่คนทั้งหลาย ตอกย้ำซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา จนผู้ที่รับข่าวสารเกิดความคล้อยตาม เชื่อ และทำตามผู้ที่เป็นเจ้าของหรือควบคุมสื่อต้องการในที่สุด
จะเห็นได้ชัดเจนในทางการเมืองที่รัฐจะใช้สื่อในการสร้างอุดมการณ์ทางการเมืองขึ้น ให้คนในชาติเกิดความ มีความคิดความเชื่อเป็นหนึ่งเดียว คล้อยตามการชี้นำของรัฐ  นำไปสู่การจงรักภักดีต่อรัฐ  จนในที่สุดรัฐหรือรัฐบาลสามารถบงการประชาชนให้เชื่อฟังและทำตามความต้องการได้  การอยู่ในอำนาจของรัฐบาลและรักษาอำนาจของตนก็ทำได้โดยง่ายดาย
ปัจจุบัน สื่อก็เป็นเครื่องมือ ในการสร้างอำนาจให้แก่ผู้ใช้สื่ออยู่เช่นเดิม  เพียงแต่อำนาจที่ว่านั้น ไม่ใช่อำนาจทางการเมืองเสมอไป  เพราะการเป็นเจ้าของสื่อไม่ได้จำกัดอยู่ที่รัฐเพียงเท่านั้น  เอกชนก็สามารถเป็นเจ้าของสื่อได้  ดังนั้น ผู้ที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาอำนาจของตน จึงเปิดกว้างมากขึ้น  แต่ทั้งนี้ก็ยังอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของรัฐ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ
เมื่อการเป็นเจ้าของสื่อเปิดกว้างขึ้น การใช้สื่อก็กว้างขวางขึ้น ผู้ที่มีสื่อในมือก็สามารถใช้สื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองได้อย่างแทบไม่มีข้อจำกัด เช่น
ในทางการเมือง รัฐก็ยังคงใช้สื่อภายใต้การกำกับหรือสื่อที่รัฐเป็นเจ้าของ ในการเผยแพร่ความ คิดอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่เช่นเดิม  ดังเช่น สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เป็นสื่อที่รัฐเป็นเจ้าของ จึงทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ของรัฐเป็นหลัก
ในการต่อสู้ทางการเมือง สื่อยิ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของแต่ละฝ่าย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ฝ่ายตนและทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงกันข้าม  ดังเช่น ความขัดแย้งทางการเมืองในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงปี พ.ศ.2547-2549 โดยสองฝ่ายคือ ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่รวมตัวกันในนาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองโดยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการกระทำอันมิชอบของรัฐบาล และดำเนินการชุมนุมต่อต้านขับไล่รัฐบาลให้พ้นจากตำแหน่ง โดยมีประชาชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วม  ทั้งสองฝ่ายต่าง          ใช้สื่อที่ตนครอบครองอยู่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ในมุมของตนออกสู่สาธารณชน
ในทางการค้า ปัจจุบันสื่อกลายเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งให้เจ้าของสินค้าใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ให้คนทั่วไปได้รับรู้ในสินค้าและบริการของตน  รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อถือและความนิยมในสินค้า  ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม  รูปแบบการนำเสนอได้ถูกคิดค้นขึ้นมานานาชนิด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างความประทับใจให้ได้มากที่สุด อันจะนำไปสู่การซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย
       ด้วยเหตุที่สื่อเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ทำให้ผู้คนรับรู้ เชื่อถือ คล้อยตาม และนำไปสู่การยอมรับ ดังนั้นเราจึงเห็นการขับเคี่ยวแข่งขันกันผ่านสื่อของเจ้าของสินค้าและบริการ  รวมถึงในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้น คู่ขัดแย้งก็ใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความถูกต้องให้แก่ฝ่ายตนและทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงกันข้าม  คำถามก็คือ ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อนั้น มีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด
         ความชอบธรรม ความถูกต้อง ของฝ่ายตนกล่าวอ้างผ่านสื่อนั้น แท้จริงแล้วเป็นความถูกต้องความชอบธรรมที่แท้จริงหรือไม่  และความผิด ความไม่ชอบธรรมของฝ่ายตรงกันข้าม เป็นความจริงหรือไม่  นี่ย่อมเป็นคำถามที่มีต่อทุกฝ่ายที่ใช้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล
หรือคุณภาพของสินค้าและบริการที่เผยแพร่ผ่านสื่อนั้น  มีความถูกต้องตรงตามความเป็นจริงหรือไม่  โดยเฉพาะการโฆษณาที่มุ่งเสนอคุณภาพของสินค้าและบริการนั้น  ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเพียงใด เป็นความจริงที่แท้จริงของสินค้า หรือเป็นความจริงสมมติที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะในโฆษณาเท่านั้น 
สื่อจึงเป็นเหมือนสนามรบให้ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันอย่างดุเดือด สงครามข้อมูลผ่านสื่อนั้น ไม่ว่าเป็นสงครามแบบไหน  ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือผู้รับสื่อ คือเราๆท่านๆที่บริโภคข่าวสาร ผ่านช่องทางต่างๆ  อันเป็นกลุ่มเป้าหมายของคู่สงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามการเมือง การค้า การตลาด การบริการ
          ผู้รับสื่อจึงต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ ก่อนที่จะเชื่อ จะเห็นด้วย และคล้อยตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสินค้าตัวใดตัวหนึ่งเพราะกระบวนการตกแต่งข้อมูล บิดเบือนข้อเท็จจริงนั้น สามารถทำได้ ไม่ว่าจากฝ่ายใด
วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ผู้บริโภคสื่อ คือตัวเรานั้น เป็นเหยื่อ  เป็นเหยื่อและเป็นเหยื่อ
จากนั้นก็คิดวิธีรักษาตัวให้รอดจากการตกเป็นเหยื่อให้ได้เป็นลำดับถัดมา


แหล่งที่มา >  http://blogologynet.com/media-of-wars

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

transformers

จากที่ประทับใจจากภาคแรกแล้ว มาภาค2ก็ไม่ผิดหวังแม้แต่น้อย สนุกกว่าเดิมหลายเท่า ในภาคนี้เนื้อเรื่องได้ไห้บทกับฝ่ายมนุษย์มากกว่าเดิม โดยในภาคนี้ผมมองว่าว่ามีนัยที่แฝงไว้หลายอย่าง อย่างเช่น เนื้อเรื่องที่ต้องการบอกว่ามนุษย์นั่นสามารถควบคุมหุ่นยนตร์ได้ ทั้งที่จริงแล้วผมมนุษย์ไม่กล้าหือมากกว่า และหุ่นยนตร์เองก็ให้ความร่วมมือ และเป็นมนุษย์อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามกับภาพที่ฉายไม่ว่า การที่มนุษย์จัดระเบียบกับหุ่นยนตร์ ก็เหมือนกัยบ่งบอกอย่างที่กล่าวไว้
นอกจากนี้ก็ได้ฉายภาพของมนุษย์ได้ดีกว่า เมื่อภัยมาก็พยายามที่จะแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา  อยางที่ปรึกษาอะไรซักอย่างที่มาจากประธานาธิบดีมาบอกว่าให้พวกหุ่นยนตร์ไปจากโลก  เพราะกลัวพวกตัวร้ายมาถล่มโลก  เพราะแค้นพวกฝ่ายออโตบอทนั่นเอง  และพยายามคิดว่ามนุษย์นั่นสามารถจัดการเองได้ทั้งที่จริงแล้วฝ่ายมนุษย์นั้นต้องการหุ่นยนตร์ฝ่ายดีอยู่แล้ว 
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าบทจะมีอะไรมากขึ้นกว่าเดิม  แต่ที่เป็นข้อเสียเล็กๆน้อยๆ คือ บทหุ่นยนตร์บางตัวน้อยไปหน่อย บางตัวโผล่มาแปบเดียวก็หายไปแล้ไม่ได้พูดถึงเลย นอกจากนี้น่าจะมีบทที่มาที่ไปของหุ่นยนตร์ตัวใหม่ๆด้วย
นอกจากนี้ผมว่าบทนั่นน่าจะมีอะไรให้จดจำมากกว่านี้  ที่สำคัญคือ จบเร็วไปนิด (ตัวร้ายตายงายไปหน่อย น่าจะสู้กันนานกว่านี้นะ) บทฝ่ายตัวร้ายก็น่าจะร้ายกว่านี้  แต่โดยรวมแล้วบทก็ดีนะคับ เรียบเรียงได้ดี ไม่งง ดูได้เรื่อยๆ และมีฉากฮาๆเยอะดี
ด้านความมันส์ ผมขอบอกว่า เยอะมากๆเช่น ฉากย้ายไปที่อียิปต์ มันส์มากๆหรือฉากที่ต่อสู้กันในป่าก็มันส์ดี ละบรรดาฉากวินาศสันตะโรต่างๆก็เจ๋ง และฉากนี้บทการต่อสู้ของมนุษย์ที่ยกทัพมาเยอะดี ชอบๆ ไม่ว่าจะเป็นรถถัง เครื่องบิน เรือรบ ก็เจ๋งดี (แต่ผมว่าน่าจะมีเยอะกว่านี้นะ) ฉากรบกันสุดยอดที่สุดแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ร้านGazebo


จากถนนข้าวสาร ที่วุ่นวายพลุกพล่าน ไปด้วยผู้คน ร้านขายของ ร้านอาหารและผับหลากหลายสไตล์ ยังมีสถานที่ที่นั่งสบายบรรยากาศ Open Air ซ่อนตัวอยู่บนชั้นดาดฟ้าอาคาร44พลาซ่าต้นถนนข้าวสารฝั่งวัดชนะสงคราม Gazebo Club & Restaurant เป็นสถานที่ที่เหมาะกับหลีกหนีความวุ่นวายในข้าวสารเพื่อที่จะ การนัดพบ พูดคุย และ ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศสบายๆ







ด้วยการตกแต่งร้านในแบบ Oriental ได้อย่างสวยงามจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่บนตึก ทางร้านมีบริการพิเศษ นั่นก็คือ Shisha ให้คุณได้ดูดดื่มกับความหอมของ Shisha ไปพร้อมๆกับบรรยากาศของร้าน การจัดแบ่งโซนของร้านจะแบ่งเป็นสองส่วนนั่นก็คือ ส่วน Outdoor ที่เป็น Open Air เปิดดนตรีสบายๆ และมี Live Brand ช่วงเวลาหลัง 21.00 น. ทุกวัน



และโซน Indoor ที่เป็นการตกแต่งร้านอีกรูปแบบที่ฉีกออกไปสำหรับวัยรุ่น หรือคนที่อยากเต้น ด้วยดนตรี hip-hop , house, electro house Dj's Gazebo ในภาษาอังกฤษหมายถึงอาคารขนาดเล็กๆ หรือ กระท่อม Gazebo Club and Restaurant จึงเป็นกระท่อมเล็กๆแฝงตัว รอให้คุณเข้าพัก และปลดปล่อยอารมณ์ แล้วคุณจะหลงใหลไปกับมัน




ประเภทเครื่องดื่ม ทุกประเภท เหล้า เบียร์ คอกเทล
เมนูแนะนำประจำร้าน ไก่กอเระ, ส้มตำผลไม้, ชีสทอด
แนวเพลง Outdoor : solf rock, regge, chill out ,Indoor : Hip-Hop, House, Electro house



ที่อยู่ 44 ชั้นดาดฟ้า อาคาร 44 พลาซ่า ถ.จักรพงษ์ เขต พระนคร กรุงเทพ
โทรศัพท์ 0-2629-0705
เว็บไซต์ www.gazebobkk.com
เวลาเปิด-ปิด 19.00 until less




การเดินทาง


เส้นทางที่สะดวกใน 44 ชั้นดาดฟ้า อาคาร 44 พลาซ่า ถ.จักรพงษ์ เขต พระนคร กรุงเทพ
แหล่งจอดรถ ลาดจอดรถกองฉลาก (ใบเสร็จมาแลก Drink ได้)







วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

เดินเที่ยวกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน




กรุงเทพมหานคร แปลว่า พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนครกรุงเทพมหานครยังมีสิ่งมหัศจรรย์รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ จนกลายเป็นที่ขนานนามก้องโลกอีกหลายแห่ง เช่น พระบรมมหาราชวัง, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดอรุณราชวราราม, พระที่นั่งอนันตสมาคม ฯลฯ แต่วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร คือการเดินย่ำราตรี ชมแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนกันแบบสบาย ๆ อันได้แก่ ...


สะพานพระพุทธยอดฟ้า หรือชื่ออย่างเป็นทางการ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ ปัจจุบันนอกจากจะเป็นสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของกรุงเทพแล้ว ยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน ในเวลาตั้งแต่ 18.00 น.- 23.00 น. บริเวณเชิงสะพานฝั่งพระนครจะมีตลาดนัดใหญ่มีสินค้ามากมาย โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องประดับ เป็นที่นิยมของบรรดาวัยรุ่น นอกจากนี้ ยังเป็นที่ขายงานศิลปะของบรรดานักศึกษาเพาะช่างอีกด้วย ตลาดนัดสะพานพุทธฯ เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์


ถนนราชดำเนินเป็นถนนที่สวยงามและเป็นศรีสง่าของบ้านเมือง ตั้งแต่แรกสร้างมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นถนนสายประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์การเมืองไทยตลอดถนนราชดำเนินนั้นประดับประดาไปด้วยแสงไฟยามราตรี ให้เราเข้าถึงบรรยากาศเก่า ๆ จากอาคารต่าง ๆ

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                        ถนนเยาวราช



หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว กรุงเทพฯ ได้เริ่มทำการค้ากับประเทศทางตะวันตกมากขึ้นมีการส่งสินค้าออก เช่น ข้าว เครื่องเทศ น้ำตาลและมีการนำเข้าเหล็ก ผ้าแพรจากจีน เครื่องหอม ฯลฯ แหล่งการค้าของกรุงเทพฯ นั้นอยู่ในย่านคนจีน โดยมีอาณาเขตตั้งแต่ริมคลองโอ่งอ่างจนถึงคลองผดุงกรุงเกษมจากกิจการค้าที่ รุ่งเรืองและรายได้เพิ่มขึ้น จึงทำให้มีการตัดถนนเพิ่มขึ้นหลายสายพร้อมกับความเจริญที่ตามมา



ยามค่ำคืนเยาวราชจะแปรสภาพจากถนนเศรษฐกิจเป็นถนนอาหารที่มีความยาวที่สุดแห่งหนึ่ง สองฟากถนนเต็มไปด้วยอาหารชนิดวางขายเรียงรายเป็นแนวยาวมีทั้งหูฉลาม ซุปรังนก ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ บะหมี่ ก๋วยจั๊บ แพะตุ๋นยาจีน เกาเหลาเครื่องในหมู ข้าวขาหมู อาหารทะเล เกาลัดคั่ว ของหวานและผลไม้หลากชนิด เลือกนั่งได้ทั้งแบบภัตตาคาร ร้านริมถนนหรือจะซ้อจากรถเข็นและแผงลอยนานาชนิดก็ได้ ท่ามกลางบรรยากาศแสงสีไฟจากป้ายชื่อร้านที่ต่างก็มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบกัน